ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจกับผู้อ่านก่อนเล็กน้อย ว่าตัวผู้เขียนรับราชการในกองทัพเรือ โดยอยู่ในสังกัดหน่วยนาวิกโยธิน เพราะฉนั้นเรื่องราวต่างๆ ก็อาจจะแตกต่างจากเหล่าทัพอื่นไปบ้างไม่มากก็น้อย ก็ต้องขอทำความเข้าใจกันไว้ก่อน
การจะเป็นทหารพลร่มได้นั้นจะเหมือนกันทุกเหล่าทัพ คือจะต้องผ่านหลักสูตรกระโดดร่มจากเหล่าทัพของตนเสียก่อน ( แต่ก็มีบ้างที่ไปจบหลักสูตรกระโดดร่มของต่างเหล่าทัพ ) สำหรับชื่ออย่างเป็นทางการที่ใช้เป็นสากลของหลักสูตรกระโดดร่มก็คือ " หลักสูตรส่งทางอากาศ " และส่วนใหญ่จะมีชื่อหน่วยเจ้าของหลักสูตรต่อท้าย เช่น หลักสูตรส่งทางอากาศ อากาศโยธิน , หลักสูตรส่งทางอากาศ นาวิกโยธิน เป็นต้น
ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ของเกือบทุกปี จะมีหนังสือราชการ จากแผนกวิชาการรบพิเศษ ศูนย์การฝึก หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน แจ้งไปยังหน่วยต่างๆในกองทัพเรือและเหล่าทัพอื่น ว่าขณะนี้แผนกวิชาการรบพิเศษ ฯ จะทำการเปิดหลักสูตรส่งทางอากาศนาวิกโยธิน กำลังพลที่จะเข้าเรียนให้ทำการสมัคร ( เป็นขั้นตอนทางเอกสาร ) และทำการทดสอบร่างกายตามวันเวลาที่กำหนด
ผู้เขียนเองก็ได้ดำเนินการขั้นตอนทุกอย่าง จนวันที่ต้องทำการทดสอบร่างกายมาถึง ผู้เขียนรับราชการอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ จึงต้องขับรถออกจากกรุงเทพฯเดินทางไป อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี แต่เช้าตรู่ เพื่อไปให้ถึงหน้าแผนกวิชาการรบพิเศษ ฯ ให้ทันตามเวลา 0900 ที่กำหนดไว้
เมื่อเดินทางมาถึง ก็ได้เห็นกำลังพลจากหน่วยต่างมากันเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่ก็อยู่ในพื้นที่ อ.สัตหีบอยู่แล้ว
หลังจากนั้นครูฝึก ก็เรียกแถวเพื่อชี้แจงขั้นตอนการปฎิบัติในการทำการทดสอบร่างกายให้ทุกนายได้รับทราบ สำหรับผู้เขียนนั้น รู้สึกเคว้งคว้างเนื่องจากไม่คุ้นเคยกับใครเลย และส่วนใหญ่จะมากันเป็น
กลุ่มแต่ผู้เขียนนั้นมาคนเดียว ที่เห็นนี้มีประมาณร้อยกว่านาย และรุ่นนี้จะรับ 120 นาย แต่ในจำนวนนี้ได้คัดเลือกจากนักเรียนจ่านาวิกโยธิน ที่กำลังจะจบเข้าไว้แล้ว 60 นาย เพราะฉนั้นแล้วจะเหลือที่ว่างเพียงแค่ 60 นายเท่านั้น ทีนี้ก็ต้องมาแข่งกันหละครับ
จนเมื่อได้เวลาทำการทดสอบร่างกาย เริ่มจากการดึงข้อก่อนเป็นอันดับแรก
ท่านี้ ผู้ทำการทดสอบต้องดึงให้ได้ 10 ครั้งขึ้นไปจึงจะถือว่าผ่าน ( แค่ผ่านนะครับ )
คะแนนเต็ม คือ 20 ครั้ง แต่ก็มีพวกพลังลึกล้ำ คือพวกฟิตจัด
พวกนี้ทำได้ล้นคะแนนเต็มหมด ก็ต้องดูว่าใครล้นมากกว่ากัน บางนายดึงข้อได้ถึง 90 ครั้งก็ยังมี
ก็ดึงเอาเป็นเอาตายกันแหละครับ บางนายนี่พอหมดแรงก็เริ่มมีท่าแปลกๆในการดึงไปซะงั้น
พอดึงข้อกันเสร็จก็มายึดพื้นกันต่อ ก็อาศัยช่วงรอคนดึงข้อจนกว่าจะหมดเลยได้พักกันนิดนึง
ท่ายึดพื้นนี้ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่ก็ทำผ่านเกณฑ์ผ่านกันหมด อยู่ที่ว่าใครทำได้มากกว่ากัน
แล้วก็มาต่อกันด้วยท่า ซิทอัพ
ท่านี้ก็เช่นกัน ไม่มีใครทำไม่ผ่าน ส่วนใหญ่ทำกันได้เยอะๆทั้งนั้น แต่ก็พอที่จะทำให้หมดกำลังไปบ้างพอสมควร หลังจากทดสอบทั้ง 3 ท่าผ่านไปเรียบร้อยแล้ว ครูฝึกก็จะให้ไปดื่มน้ำกันเล็กน้อย แล้วก็ให้ไปตั้งแถวเพื่อทำการทดสอบวิ่ง 1 ไมล์ ในระยะเวลาที่กำหนดแล้วยังต้องแข่งเรื่องเวลาของแต่ละนายด้วย
ทีนี้ก็วิ่งกันหูดับตับใหม้กันหละครับ ต่างคนต่างฟิต แต่ละนายนี่วิ่งกันอย่างกับม้ามีเท่าไรใส่หมด
เพราะเวลามันบีบ
ระยะ 1 ไมล์บกนี่ก็ราวๆ 1.6 กิโลเมตร นั่นแหละครับ เกณฑ์ผ่านอยู่ที่ 7 นาที ถ้าเกินตก ทีนี้ไอเวลากับระยะทางขนาดนี้ก็คือต้องวิ่งแบบสับเอาสับเอานั่นเอง
กว่าจะถึงจุดที่กำหนด ก็หอบกันเป็นแถวๆเลยทีเดียว
หลังจากนั้นครูฝึกก็จะให้ผู้ที่มาทำการทดสอบทั้งหมดแยกย้ายกันไปพัก แล้วนัดให้มารวมพลกันที่หน้าผาวชิราลงกรณ์ เพื่อเตรียมตัวทดสอบว่ายน้ำตัวเปล่าระยะทาง 400 เมตร
แล้วเวลา 1300 ผู้ที่มาทำการทดสอบก็มารวมพลกัน โดยการว่ายนำนั้นเป็นการว่ายตัวเปล่า ไม่ให้ใช้อุปกรณ์แม้แต่แว่นตาก็ไม่ได้
โดยจะต้องว่ายฝ่าคลื่นตรงออกไประยะ 100 เมตร แล้วอ้อมทุ่นไปทางซ้ายอีก 200 เมตร แล้วก็อ้อมทุ่นไปทางซ้ายเพื่อเข้าหาฝั่งอีก 100 เมตร ในระยะเวลา 15 นาที ส่วนใครที่ครบ 15 นาทีแล้วยังไม่ขึ้นฝั่งก็ผ่านเหมือนกัน เพราะถือว่ามีความสามารถลอยตัวอยู่ในทะเลได้เกิน 15 นาที เนื่องจากหลักสูตรส่งทางอากาศนาวิกโยธิน จะต้องทำการโดดร่มลงทะเลด้วย
เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงทุกคนก็แยกย้ายกันกลับ โดยทางแผนกวิชาการรบพิเศษจะประกาศผลให้ทราบในเวลาประมาณ 1 เดือน โดยใน 1 เดือนนี้ ก็จะมีการตรวจร่างกายเพื่อดูว่าร่างกายพร้อมหรือไม่ รวมไปถึงต้องทำฌาปนกิจของกองทัพเรือ ( เผื่อในกรณีเสียชีวิตจากการฝึก )
แล้วฝันร้ายที่ไม่เคยอยู่ในหัวของผู้เขียนก็เกิดขึ้น ก่อนวันประกาศผลเพียง 2 ถึง 3 วัน ได้มีข่าวร้ายเกิดขึ้นกับนักเรียนส่งทางอากาศของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เกิดอุบัติเหตุร่มไม่กางจนทำให้นักเรียนส่งทางอากาศเสียชีวิต ( ขออนุญาติกล่าวถึงด้วยความเคารพ ) และเมื่อผลได้ประกาศออกมาก็มีชื่อของผู้เขียนจริงๆ ผู้เขียนเองมีความกังวลอยู่พอสมควร เนื่องจากขณะนั้นผู้เขียนได้มีครอบครัวแล้วโดยมีบุตรชายที่กำลังเล็กๆอยู่ 2 คน ( คนเล็กยังพูดคำว่าพ่อไม่ชัดด้วยซ้ำ )
แล้วผู้เขียน ก็คิดว่าจะไม่ไปรายงานตัวในวันที่กำหนด มีเหตุผลให้เป็นข้ออ้างได้ต่างๆนาๆ
ก็แค่นั้นเอง
แต่มันชักจะไม่ใช่แค่นั้นแล้วสิครับ ไม่รู้อะไรมันบันดาลให้ผู้เขียนมายืนตาแป๋วรวมกับเค้าอยู่ในแถว ในวันรับรายงานตัวเข้าเป็น นักเรียนส่งทางอากาศนาวิกโยธิน
โดยมีผู้เข้ารายงานตัวทั้งหมด 120 นาย และยังมีอาสาสมัครทหารพรานหญิง จากหน่วยเฉพาะกิจทหารพรานนาวิกโยธิน ทดสอบผ่านเกณฑ์เข้ามาเรียนด้วยอีก 3 คน รวมเป็น 123 นาย ไม่ต้องตกใจครับ นักเรียนหญิง จะมีทึ่พักและที่ทำกิจส่วนตัวแยกจากนักเรียนชาย แต่เวลาฝึกต้องมาฝึกร่วมกับผู้ชายเหมือนกันทุกอย่าง
ผู้ที่มารายงานตัว ส่วนใหญ่ก็มียศสูงต่ำคละเคล้ากันไป บางคนมียศมากกว่าครูฝึกเสียอีก
เพราะฉนั้น เพื่อไม่ให้เป็นการลำบากใจกับครูฝึก ผู้ที่จะเข้าเป็นนักเรียนทุกนายจะต้องทำพิธีถอดยศ
โดยฝากยศไว้ที่ครูฝึก
เมื่อถอดยศเสร็จแล้ว ก็จะมีสถานะเป็นนักเรียน และครูฝึกก็จะเริ่มสั่งสอนนักเรียนทันที โดยไม่สนว่าอดีตจะเคยเป็นใคร โดยนักเรียนทุกคนจะถูกกำหนดหมายเลข และครูจะเรียกหมายเลขแทนการเรียกชื่อ
ตอนยังไม่ถอดยศ ยังมีครูฝึกที่เป็นรุ่นน้องมาทำความเคารพผู้เขียนอยู่ แว๊บเดียวในบัดดล กลายเป็นคนละคนไปเสียแล้ว
โดยครูจะทำการทดสอบจิตใจนักเรียน ว่าพร้อมหรือไม่ที่เข้าเป็นนักเรียนส่งทางอากาศนาวิกโยธิน
โดยระหว่างที่ทำการทดสอบ สามารถลาออกได้ แล้วครูจะเรียกพวกตัวสำรองเข้าเป็นนักเรียนทันที
( ถ้าพ้นวันนี้ไปแล้ว มีนักเรียนลาออก จะไม่มีการเรียกตัวสำรองเข้าทดแทน )
ครูจะทำการทดสอบพวกเราไปเรื่อยๆ
ให้ทำโน่นบ้าง นี่บ้าง เหนื่อยๆทั้งนั้น
ก็เริ่มจะหอบกันแล้วหละช่วงนี้ แต่ภารกิจมันยังไม่จบ ( ยังไม่เริ่มด้วยซ้ำ )
ก็บรรดาสัมภาระที่ขนมาซะเต็มที่นั่นแหละครับ กลายเป็นภาระสมชื่อจริงๆ
ครูให้นักเรียนแบกแล้วก็วิ่งอีก 1 ไมล์
ของผู้เขียนเองนี่ก็รุงรังไปหมด ส่วนใหญ่ก็เหมือนๆกัน กระเป๋าก็จะเต็มไปด้วยเครื่งสนามกับชุดฝึก รวมๆแล้วนี่ก็สิบกว่ากิโลเห็นจะได้ รองเท้าคอมแบทก็ปาเข้าไป 3 คู่ ยังไม่รวมกับไอที่ใส่อยู่อีก
พอกับมาถึงหน้าโรงเรียน ครูก็ให้เอาสัมภาระขึ้นไปเก็บบนอาคาร แล้วเปลี่ยนเป็นชุด 3 ( ชุดฝึกครึ่งท่อน ) มาแถวหน้าโรงเรียน
แล้วก็เริ่มบรรเลงเพลงเหงื่อให้นักเรียนโดยไม่รอช้า
ก็วิ่งย้อนกลับทางเดิมอีก 1 ไมล์ ระหว่างทางครูก็จะทดสอบจิตใจพวกเราไปเรื่อยๆ
แรกๆก็ยังทนกันได้ กัดฟันทนเอา
พอนานเข้านานเข้า อาการแต่ละคนก็เริ่มมาแล้วทีนี้ ล้มบ้าง เป็นลมบ้าง น๊อคบ้าง อาเจียน
แต่ครูก็ยังไม่ยอมลดละ ยังคงทดสอบพวกเราต่อไป
ผู้เขียนเองก็แย่แล้วตอนนี้ ตั้งแต่เช้าจนตอนนี้พระอาทิตย์จะตรงหัวอยู่แล้วนักเรียนยังไม่ไดพักกันเลย ได้แต่คิดว่าเมื่อไหร่ครูจะพอ
แต่นักเรียนก็ยังต้องวิ่งกันในสภาพที่ แบกๆ ดันๆ กันไป จนในที่สุด
พวกเราก็ได้กินข้าวเที่ยงเสียที
หลังจากนี้ก็เป็นเรื่องทางธุรการ เช่น รับชุด จัดที่นอน ขัดรองเท้า ขัดเข็มขัด จัดตู้ ตัดผม ( โกนนั่นแหละ ) จัดหมวกฝึก ทำความสะอาดโรงนอน ห้องน้ำ ห้องส้วม ทำความเข้าใจระเบียบการปฏิบัติต่างๆที่จำเป็น คืนนี้นักเรียนได้นอนกันเที่ยงคืน พรุ่งนี้ตี 5 ตรงนักเรียนทั้งหมดจะได้เริ่มฝึกตามหลักสูตรไปจนครบ 5 สัปดาห์....มีเสียงแว่วๆว่า ความเจ็บปวดกำลังมา
ตี 5 ตรง ก็มีเสียงนกหวีดดังให้นักเรียนตื่น หลังจากนั้นครูฝึกก็เรียกแถวหน้าโรงเรียน ตรวจยอดจำนวนนักเรียนครบ ครูฝึกก็พาไปวิ่ง
วิ่ง 1 ไมล์ 2 ไมล์บ้างแล้วแต่ครูฝึกจะพาวิ่ง บางทีก็วิ่งขึ้นเขากรมหลวงชุมพร แต่ส่วนใหญ่ก็วิ่งกัน
อยู่แถวๆริมทะเลนั่นแหละ ก็ทหารเรือนี่ครับ ต้องอยู่ใกล้ทะเลไว้ก่อน
ปกติทุกๆวันหลังจากออกกำลังกายเสร็จ นักเรียนจะต้องช่วยกันทำความสะอาดโรงเรียนและจัดเตรียมสถานีฝึก แต่วัตนี้ยังไม่มีการฝึกตามสถานี จึงทำความสะอาดอย่างเดียว
เมื่อทำความสะอาดเสร็จแล้ว ครูฝึกจะให้ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุด ( มีเวลาประมาณ 5 นาที ) แล้วครูฝึกก็จะเรียกแถวพาวิ่งไปกินข้าวที่โรงอาหาร ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนมากนัก เวลากินข้าว ครูฝึกมักจะหยอกนักเรียนเล่นไปเสียทุกมื้อ ให้มุดโต๊ะกินบ้าง กินข้าวหมูบ้าง กินข้าวอย่างเดียวข้าวหมดแล้วกินกับข้าวอย่างเดียวแล้วตามด้วยน้ำอย่างเดียว แต่นักเรียนก็ชินชาไม่สนใจอยู่แล้ว เพราะส่วนใหญ่ตอนเป็นนักเรียนนายเรือหรือนักเรียนจ่าก็โดนกันมาแล้วทั้งนั้น เมื่อกินข้าวเสร็จครูฝึกจะพานักเรียนวิ่งกลับมาแถวหน้าโรงเรียน
การแถวนั้นเพื่อเคารพธงชาติ และตรวจเครื่องแต่งกายของนักเรียนตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
ถ้าใครไม่เรียบร้อย ก็ต้องโดนทำโทษ ซึ่งนักเรียนจะแถวแบบนี้ทุกวันเป็นกิจวัตร ใครจะเรียบร้อยขนาดใหนครูฝึกก็ยังหาข้อบกพร่องของนักเรียนจนได้ เนื่องจากหลักสูตรส่งทางอากาศจะฝึกให้นักเรียนมีความละเอียด เพราะการกระโดดร่มนั้นถ้าพลาดเพียงนิดเดียวนั่นหมายถึงชีวิต
จนมีคำกล่าวไว้ว่า นักเรียนส่งทางอากาศห้ามพูดคำว่า "ไม่เป็นไร" แม้แต่ด้ายเส้นเดียวก็ไม่ได้
หลังจากแถวเสร็จแล้วตามปกตินักเรียนก็จะฝึกตามสถานี แต่วันนี้เป็นวันแรก ครูฝึกจึงฝึกเราเกี่ยวกับการแต่งร่มชูชีพ ( การนำร่มชูชีพมาใส่ไว้กับตัวเราเอง ) นักเรียนก็ตื่นเต้นกันใหญ่
เพราะเป็นการได้สัมผัสร่มชูชีพเป็นครั้งแรก การฝึกในขั้นตอนนี้จัดว่าสำคัญมาก เนื่องจากชิ้นส่วนประกอบของร่มชูชีพนั้นมีมาก ถ้าทำผิดขั้นตอนตามที่ครูฝึกได้บอก อาจจะทำให้เสียชีวิตได้เมื่อต้องทำการโดดจริงแต่ครูฝึกนั้นเก่งมาก มีวิธีฝึกสอนนักเรียนให้เข้าใจและสามารถปฏิบัติได้อย่างรวดเร็ว ผู้เขียนเองก็ปฏิบัติสองสามรอบก็เริ่มจะทำได้ถูกต้องและเร็วขึ้น
และสุดท้ายครูฝึกก็ให้นักเรียนแต่งร่มแล้ววิ่งแข่งกัน ทีนี้ก็หอบกันเล็กน้อย
ช่วงบ่ายก็เป็นการจัดเตรียมสถานีฝึก และออกกำลังกายเหมือนตอนเช้า อาหารมื้อเย็นก็เหมือนเดิม ( ด้วยวิธีกินแบบใหม่ๆ ) หลังจากนั้นครูฝึกจะให้นักเรียนขัดรองเท้า ขัดเข็มขัด ทุกอย่างต้องเงาวับ รองเท้านี่ 3 คู่ หัวเข็มขัดนี่แทบจะควักใส้ออกมาขัดกันเลยทีเดียว แล้วครูฝึกก็จะเรียกแถวนักเรียนเพื่ออบรมและทำโทษนักเรียน ( เป็นธรรมดาของนัเรียนทหาร ) จนประมาณ 4 ทุ่ม ครูฝึกจะให้นักเรัยนไปนอน และเมื่อถึงเวลา 5 ทุ่มของทุกคืน ครูฝึกจะเรียกแถวนักเรียนเพื่อมาลงโทษเกี่ยวกับระเบียบโรงนอน อันนี้โดนไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่ว่าใครเละมากเละน้อย เช่น ผ้าปูเตียงไม่ตึง ผ้าปูเตียงสกปรก โรงเท้าใต้เตียงไม่เป็นระเบียบ ฯลฯ ( เพียบจนบรรยายไม่ถูก ) ก็ราวๆเที่ยงคืนกว่าๆเกือบตีหนึ่งถึงจะได้นอนกัน กิจวัตรในตอนเย็นก็เป็นแบบนี้ทุกวันแหละครับ งั้นคืนนี้นอนดีกว่า พรุ่งยังมีเรื่องต้องทำอีกเยอะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น